2552-10-27

"เรือนไทยอง" ตอนที่ 7 : เรือนไทยอง 3

รอบบริเวณบ้าน

ประกอบไปด้วย นํ้าบ่อ หรือบ่อนํ้าสะอาดหน้าบ้านสำหรับบริโภคมี นํ้าถุ้ง หรือถังติดคานกระดกทำจากไม้ไผ่ ใช้สำหรับผ่อนแรงในการตักนํ้า รอบๆ บ่อเต็มไปด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ร่มรื่น บ่อนํ้าหลังบ้านใช้สำหรับอุปโภค ใกล้ๆ บริเวณนั้นมีต๊อมนํ้า เป็นสถานที่อาบนํ้าสำ หรับผู้หญิง มีกำแพงสี่เหลี่ยมบังสายตา ไม่มีหลังคา (ส่วนผู้ชายจะอาบนํ้าในลำคลองหรือบริเวณขอบบ่อ) ส้วมหลุม อยู่บริเวณสวนหลังบ้านห่างไกลกว่าตัวเรือนไม่น้อยกว่า 30เมตร รอบบริเวณบ้านเรือนชาวยองไม่เหมือนกับชาวไตโยนอีกประการหนึ่งคือไม่มีศาลผีปู่ย่า (หรือตายาย) เพราะชุมชนส่วนใหญ่มีวัดเป็นจุดศูนย์กลาง การกราบไหว้บรรพบุรุษจะทำที่วัดและศาลผีประจำหมู่บ้าน

ด้านสุนทรียภาพ บ้านเรือนชาวยองในอดีตจะนิยมความเรียบง่าย การฉลุลวดลาย ไม้กลึงลูกกรง และชายคาจึงปรากฏเพียงเล็กน้อย และการที่ชาวยองเป็นผู้เคารพเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาจึงนิยมการตกแต่งประดับประดาวิหาร อุโบสถ หอไตร อย่างทุ่มเท เต็มไปด้วยความวิจิตรอลังการ ส่วนบ้านเรือนของครูช่าง อาจได้รับการตกแต่งพิถีพิถันพอสมควรบริเวณปิดจั่วแต่ไม่สามารถเปรียบเทียบได้กับความสวยงามของส่วนตกแต่งประดับประดาหน้าจั่วของชาวไทยวนในเชียงใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์การใช้ กาแล ตามแบบลัวะ

ต่อมาในปลายสมัยรัชกาลที่ 4 และสมัยรัชกาลที่ 5 เริ่มมีการติดต่อกับชาวตะวันตกและชาวจีนจึงได้รับเอาสถาปัตยกรรมของตะวันตกและจีนเข้ามา เริ่มมีเรือนแบบ “เรือนขนมปังขิง” ที่มีการฉลุครีบหน้าจั่วแบบเพดิเมนท์มีเส้นเว้าเข้าทั้งสองข้างของหน้าจั่วกับเชิงชายอย่างละเอียด มีครีบชายคาหยาดน้ำฝนมีการประดับอาคารประเภทฉลุลวดลาย เสาที่ระเบียงเป็นไม้กลึง ลูกกรง และชายคาด้วยเครื่องมือที่เหมือนแกะจากพิมพ์ขนมปังขิง ช่างชาวยองในลำพูนได้มีการทดลองประสมประสานเอาความงามลวดลายฉลุไม้แบบพื้นถิ่นเข้าไปใช้ประดับตกแต่งเรือนของตน เช่น จั่วและป้านลม ช่องลมหน้าจั่วและช่องลม บานเกล็ด และที่สำคัญคือ สะระไน หรือส่วนประดับทางสถาปัตยกรรมที่ติดอยู่บนยอดจั่วทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ทำด้วยไม้สี่เหลี่ยมหรือกลึงให้กลมตามลวดลายนิยม จั่วลวดลายฉลุไม้พัฒนามาเป็นอัตลักษณ์ประจำพื้นถิ่นในลำพูน

สะระไน สำหรับชาวบ้าน มักเป็นชิ้นไม้ขนาดเล็กแสดงถึงความเจียมตนและฐานะ ตรงข้ามกับลักษณะ สะระไน เสาธงขนาดใหญ่ บ่งบอกสถานะทางสังคมของเจ้าหลวงผู้ครองนคร

สะระไน ได้การพัฒนาต่อเนื่องเมื่อช่างชาวยองในลำพูนได้เรียนรู้การปั้นปูนด้วยแม่พิมพ์ลวดลายฉลุ พัฒนาให้สวยงามจากระบบระเบียบการก่อสร้างแบบเดิมอีกขั้นหนึ่งสุนทรียภาพของเรือนชาวยองนอกจากการใช้ สะระไน ป้านลม ช่องลมหน้าจั่วและเชิงชายช่องลม บานเกล็ดไม้ฝาไหล ที่มีความอ่อนช้อย ลื่นไหล พลิ้ว บอบบาง ของการใช้ไม้เป็นวัสดุหลักแล้ว ยังได้เกิดพัฒนาการการใช้ปูนกับเรือนซึ่งบ่งบอกถึงความต่อเนื่องในศิลปะการตกแต่งเรือนแม้ว่าวัสดุก่อสร้างจะเปลี่ยนแปลงไปก็ตาม


อัจฉริยภาพหรือความสามารถทางด้านช่าง เกิดจากการยกย่องครูช่างของชุมชนและการทะนุบำรุงศาสนา สล่าเก๊า หรือครูช่างเหล่านี้บ่มเพาะความสามารถเฉพาะตัวทางช่างในการสร้างวัดบ้าน เรือนในหมู่บ้าน โดยการร่วมแรงร่วมใจของแรงงานผู้ชายทั้งหมู่บ้าน วิทยาการในการสร้างเรือนชาวยองที่ครูช่างถ่ายทอดนั้นแตกต่างจากชาวไตอื่น การออกแบบสัดส่วนเรือนของไตลื้อมีความอ่อนไหวพลิ้วทั้งหลังคา เดี่ยวบน เดี่ยวล่าง

หลังคาจะมีความลื่นไหลต่อเนื่องโดยสันหลังคาและมุมหลังคาเชื่อมต่อกันทำให้เกิดตะเข้สัน ตะเข้ราง กึ่งจั่วกึ่งปั้นหยา สลับซับซ้อนไปมา ลักษณะการออกแบบหลังคาแบบนี้จำเป็นต้องมีการต่อเชื่อมโครงสร้างหลายจุด ทำให้เกิดทักษะบากปากไม้และเดือย การใช้ลิ่มสอดเข้าไปที่หัวเดือย การตอกอัดลิ่ม ทำสลักยึดโครงหลังคา ไม้โครงสร้างบางครั้งวางนอนและวางตั้งสลับกันทำให้เกิดการถ่ายแรงในโครงสร้างแบบที่ไม่เคยพบในตำราใดๆ หรือกฎเกณฑ์ทางโครงสร้างใดๆ และแตกต่างจากเรือนทั่วไปในล้านนาอย่างชัดเจน

เดี่ยวบนภายในเรือนสะท้อนความสามารถทางด้านช่างในการใช้ไม้สอดขัดกลอนประตูหน้าต่าง การทำประตูฝาไหล บานเฟี้ยมกั้นห้อง บานเกล็ด ช่องฝาที่ออกแบบเพื่อเปิดทำความสะอาดพื้น และการติดมุ้งลวดเป็นหลักฐานถึงการคิดประดิษฐ์ มีให้เชิงประจักษ์มานานในเรือนชาวยองที่มีอายุกว่า70 ปี (เช่นบ้านนายวัง ใจจิตร ตำบลมะกอก) และเดี่ยวล่างใต้ถุนเรือนที่สูงโล่งเน้นประโยชน์ใช้สอย เกิดความเบาลอยตัวโปร่งโล่งและร่มรื่น

และยังเกิดวัสดุใหม่ๆสำหรับใช้ในชุมชนชาวยอง ได้แก่ ได้แก่ แผงปูนการประยุกต์ใช้วัสดุก่อสร้าง ปูน ซึ่งเริ่มแพร่หลายและยอมรับที่จะนำมาใช้กับบ้านเรือนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2430 ที่เริ่มมีชาวจีนที่เข้ามาทำการค้าขายในลำพูนเช่นที่ บ้านป่าซางและบ้านปากบ่องทำให้เกิดรูปแบบเรือนพักอาศัยแบบผสมอิทธิพลจีน ก่อสร้างบ้านเรือนแบบจีน ทำลวดลายแกะสลักและหลังคากระเบื้องรางแบบจีนมาผสมผสานกับบ้านท้องถิ่น ฝีมือช่างจีนนั้นเป็นที่ยอมรับกันว่าประณีตละเอียด มีทั้งบ้านชั้นเดียวและเรือนแถวซึ่งนิยมปลูกริมถนน เป็นบ้านไม้และปูน ยกพื้นสูงจากดินเล็กน้อยหรือแบบใต้ถุนสูง ทำฝาถังผสมฝาประกน หน้าต่างแบบจีน ส่วนตกแต่งทำแบบหล่อปูนผสมปูนขาวสำหรับติดราวระเบียง ราวบันไดมีความสวยงาม เรียบร้อยและคงทนถาวร ลวดลายที่ใช้คือ ลายเครือเถา ลายเรขาคณิต ส่วนอาคารร้านค้าเป็นอาคารตึกมีทั้งชั้นเดียวและสองชั้น ใช้เทคนิคที่ได้รับจากช่างชาวจีนและแพร่หลายในเวลาต่อมา นั่นคือการผสมหมักปูนก่อและปูนฉาบ ที่มีส่วนผสมของปูนขาว ทราย ยางจากพืชและยางจากหนังสัตว์

แม่พิมพ์กระเบื้องซีเมนต์ บ้านนายวัง ใจจิตรตำบลมะกอก ภาพ: วิฑูรย์ เหลียวรุ่งเรืองในช่วงระยะเวลาร้อยปีนี้เองช่างชาวยอง ได้พัฒนาสูตรการผสม ปูนสตาย ที่มีความแกร่งคงทน ได้จากการเผาหินปูนนำ และมาหมักเป็นเวลา 3-36เดือนทำให้ได้ปูนขาว แล้วนำปูนขาวมาผสมกับทราย วัสดุเชื่อมประสานจากธรรมชาติ (เช่นนํ้าหนังควาย นํ้าอ้อย หรือยางบง) สู่การพัฒนาเป็นซีเมนต์สำหรับการทำงานก่อสร้าง

ประดับจั่ว กระเบื้องซีเมนต์ แผงปูนระเบียง ลวดลายต่างๆในแต่ละหมู่บ้านไม่ซํ้ากัน กระเบื้องและแผงปูนสวยงามอ่อนช้อยเหล่านี้สามารถทำจากพิมพ์แล้วยกขึ้นไปประกอบในแต่ละแห่ง ปรากฏให้เห็นในพื้นที่จังหวัดลำพูนเท่านั้น โดยเฉพาะที่ตำบลหนองล่องมีเรือนติด แผงปูน สะระไน จำนวนสิบหลังที่มีสภาพดี

การศึกษาทางการช่างสมัยใหม่มีบทบาทมากขึ้น เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 โดยมีการตั้งโรงเรียนการช่างไม้ลำพูน ทำให้การก่อสร้างในช่วงหลังมีการเปลี่ยนแปลงทางวัสดุและเทคนิคการก่อสร้าง มีการใช้คอนกรีต แสดงถึงความเป็นสากลมากขึ้น จนกระทั่งปี พ.ศ. 2532 รัฐบาลมีนโยบายปิดสัมปทานป่าไม้ ทำให้ขาดแคลนไม้วัสดุก่อสร้างสำคัญ จึงมีการใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ตลอดจนเทคนิคการก่อสร้างและสถาปัตยกรรมสมัยใหม่มาทดแทน เรือนชาวยองแบบเดิมจึงเสื่อมความนิยมไปและทยอยถูกรื้อถอนจนถึงปัจจุบัน